ลงทุนในหุ้นเติบโต (1)
สไตล์การลงทุนของผมในช่วงสามปีที่ผ่านมาเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก เนื่องจากเหตุผลส่วนตัวที่ผมไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาทำให้ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารหรือข้อมูลการลงทุนอย่างใกล้ชิด
เดิมทีนั้นผมเป็นนักลงทุนในสไตล์ที่ค่อนข้างจะ”บู๊” กล่าวคือผมนิยมซื้อหุ้นคุณภาพปานกลางในราคาที่ undervalue มาก และขายออกไปเมื่อราคาขึ้นมาถึงจุดที่ผมคิดว่า fair (ผมชอบเรียกการลงทุนในแนวนี้ว่าเป็นการลงทุนแบบ bargain hunter – ดูบทความเก่าประกอบได้ครับ)
ว่ากันตามจริง การลงทุนในสไตล์นี้ให้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควรกับผม แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการใช้เวลาไปกับการศึกษาและค้นหาข้อมูล รวมถึงต้องมีเวลามากพอสมควรในการติดตาม”ราคา”ของหุ้น เพราะการลงทุนในแนว ผมมักจะถือหุ้นแค่หลักเดือน หรือหลักไตรมาส ก่อนที่จะทำการซื้อขายหรือปรับเปลี่ยนพอร์ต
ดังที่ผมกล่าวมาในข้างต้น ผมจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการลงทุน เพราะผมจำเป็นต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษา รวมทั้งการต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนั้นก็จะยิ่งทำให้ผมเข้าถึงข้อมูลได้ลำบากมากขึ้น
ผมพยายามออกแบบพอร์ตการลงทุนอยู่หลายรูปแบบ จนสุดท้ายผมก็ตัดสินใจมาเลือกรูปแบบการลงทุนในหุ้นเติบโต ทั้งนี้ผมเคยมีความคิดว่าการลงทุนในหุ้นเติบโตเป็นเรื่องที่เสี่ยง เพราะตลาดมักให้พีอีกับหุ้นเหล่านี้สูงลิ่ว หากบริษัทไม่เติบโตจริงอย่างที่ตลาดคาดหวัง เราก็มีโอกาสจะขาดทุนได้หนักๆ
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผมศึกษาแนวทางการลงทุนในหุ้นเติบโตอย่างจริงจัง ผมก็ค้นพบว่าผมนั้นไปยึดติดกับอัตราส่วนทางการเงินมากไป เพราะว่ากันตามเชิงคุณภาพนั้น มีบริษัทมากมายในตลาดที่ผมมั่นใจในระดับค่อนข้างมากถึงมากว่าบริษัทจะเติบโตในระดับ 10-20% ต่อปีได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายๆปีข้างหน้า ที่สำคัญปัจจัยเชิงคุณภาพเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนที่จะเข้าใจ เพราะบริษัทเหล่านี้มักจะเป็นบริษัทสามัญประจำบ้าน ที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวัน โอกาสที่บริษัทจะไม่เติบโตอย่างที่เราคิด อยู่ในขั้นน้อยถึงน้อยมาก
อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ผมเคยเมินการลงทุนในแนวนี้คือเรื่องของผลตอบแทน ผมเคยคิดว่าการลงทุนในหุ้นเติบโตน่าจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าการลงทุนในแบบ bargain hunter, ประเด็นนี้ผมคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องที่จริงในยุคที่ตลาดยังอยู่ที่ 400-500 จุด เพราะตอนนั้นเรามีหุ้น PE 4-5 มากมาย ที่รอตลาดจะปรับ PE ให้เมื่อมี catalyst ที่เหมาะสมเข้ามา ดังนั้นการลงทุนแบบการไล่ล่าส่วนลดก็อาจจะให้ผลตอบแทนที่หวือหวาและทันใจกว่า แต่กลับกันในยามที่ SET ขึ้นมาถึง 1400-1500 จุดแบบตลาดตอนนี้ การจะหาหุ้นที่มีส่วนลดมากๆ เพื่อหาผลตอบแทนแบบหวือหวาทันใจก็คงจะทำได้ลำบากขึ้น สิ่งที่เราจะได้จากการพยายามลงทุนแบบ bargain hunter นั้นน่าจะเป็นการที่เราได้หุ้น grade B ในราคาที่ค่อนข้าง fair แล้ว ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพราะด้วยตัวคุณภาพของธุรกิจที่ไม่ได้แข็งแกร่ง หากมีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจเข้ามากระทบ กำไรของบริษัทรวมทั้งราคาหุ้นน่าจะลดลงได้มากๆ
ผมเป็นแฟนของ Peter Lynch และ ลินช์ก็เป็นคนนิยมหุ้นเติบโต ผมงานของลินช์ก็บ่งบอกได้ดีว่า หุ้นเติบโตสร้างผลกำไรทบต้นได้มากขนาดไหน แต่เมื่อก่อนผมคิดว่าการลงทุนในแบบของลินช์คงไม่สามารถ apply กับตลาดไทยที่คุณภาพของบ.จดทะเบียนต่ำกว่า ผมเชื่ออย่างนั้นอยู่หลายปีจนเห็นการเติบโตของพอร์ตการลงทุนของอ.นิเวศน์ ที่ท่านลงทุนกับหุ้นเติบโต (และแข็งแกร่งมาก) เป็นหลักทำให้ รวมถึงการที่ผมมองย้อนกลับไปดูหุ้นเติบโตหลายตัวที่ผมเคยเมินและผมพบว่าราคามันขึ้นมาจากวันที่ผมเคยเมินหลายร้อยเปอร์เซนต์ ทำให้ผมเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆว่า การลงทุนแบบนี้ทำได้จริงในบ้านเรา
ผมอาจจะต้องปรับเปลี่ยนสไตล์ของลินช์เล็กน้อยเพราะลินช์เน้นแต่การเติบโตเป็นหลัก หลายบริษัทที่ลินช์ลงทุนเป็นบริษัทเกิดใหม่ที่ยังเติบโตได้อีกมาก แต่ผมขอเน้นเพิ่มว่าผมขอลงทุนบริษัทที่เติบโตมาแล้วในระดับพอสมควร, เป็นเจ้าตลาด, มี dca แข็งแกร่ง แต่ผมยังเห็นว่าบริษัทยังมี room ที่จะเติบโตได้อีก จะด้วย megatrend ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ (จะว่าไปก็คือแนวทางที่อ.นิเวศน์ท่านใช้ และพยายามพร่ำสอนมาหลายปีแล้วนี่เอง)
ตอนต่อไปผมจะมาต่อว่าด้วย criteria ที่ใช้กรอง ผมลงทุนกับหุ้นอะไรไปบ้าง และผลตอบแทนออกมาเป็นเช่นไร
ขอบคุณค่ะ รอคอยตอน ต่อไปค่ะ
น่าสนใจมากเลยครับ รอต่อตอนที่สองนะครับ ^^
รออ่านต่อหน้าด้วยครับ :]
ขอบคุณครับได้แนวคิดดีๆ
รออ่าน episode II ครับ
ขอบคุณครับ
รอเขียนหลังงบคิวสองออกนะครับ 🙂